ทารกเป็นหวัด 5 วิธีรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา และโรคแทรกซ้อน
ทารกเป็นหวัด 5 วิธีรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา และโรคแทรกซ้อน ไข้หวัดเป็นได้ทุกคน ไม่มีใครบนโลกที่เกิดมาแล้วไม่เคยเป็นหวัด หวัดอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาไม่ร้ายแรง จนเราชินกันไปแล้ว เพราะว่าสามารถหายได้ง่าย แต่ถ้าไข้หวัดมาเกิดกับเด็กทารกหละ น่าเป็นห่วงไหม จะเป็นอย่างไร คุณพ่อคุณแม่มอใหม่ควรรู้สักนิด เพื่อสุขภาพที่ดีของลูก
ไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งร่ายกายเราเมื่อเป็นแล้วจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเอง ยาที่เราทานเข้าไปนั้นไม่ได้ช่วยฆ่าเชื้อไวรัส มันเพียงแค่บรรเทาอาการเท่านั้น และพวกยาปฏิชีวนะนั้นจะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นเพียงการเทาอาการเท่านั้นไม่ได้มีส่วนฆ่าเชื้อไวรัสแต่อย่างใด บางครั้งยาปฏิชีวนะยังไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อทารกเป็นหวัดหากว่าไม่มีอาการรุนแรงมากไป เราสามารถรักษาได้แบบไม่ต้องใช้ยา โดยวิธีดังต่อไปนี้ — ทารกเป็นหวัด
1.อาการเจ็บคอ คอแดง
อาการเจ็บคอ หรือคอแดงนั้น หากว่าเกิดจากไข้หวัด เราสามารถรักษาได้ด้วยการดื่มน้ำอุ่น ๆ และงดของเย็นทุกชนิด บ้วนปากด้วยน้ำเกลือก็จะช่วยให้อาการเจ็บคอหายได้ แต่ในเด็กทารกนั้นการบ้วนปากอาจไม่สามารถทำได้ เพราะฉะนั้นให้เน้นที่ทานดื่มเฉพาะของอุ่นจะดีที่สุด
2.อาการไอ เสียงแหบ
งดของมัน ของทอด หรือของที่มีรสเค็ม จากนั้นให้หาน้ำผึ้ง ผสมน้ำมะนาว และผสมลงในน้ำอุ่น จิบๆ เป็นระยะ อาการไอ และเสียงแหบก็จะทุเลาลงโดยไม่ต้องใช้ยา
3.คัดจมูก น้ำมูกไหล
บางครั้งเด็กจะมีน้ำมูกมาก มีน้ำมูกเขียงข้น เราสามารุล้างจมูกได้ด้วยน้ำเกลือวันละ 2 ครั้ง แต่หากว่าเป็นทารกแรกเกิดยังไม่สามารถสั่งน้ำมูกได้เอง เราอาจจะใช้ที่ดูดน้ำมูกมาช่วยก็ได้เช่นกัน
4.หายใจติดขัด
อาการหายใจติดๆ ขัด เนื่องมากจากมีน้ำมูกมากจนเกินไป หากว่าเราทำตามข้อ 3 แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำว่าให้ใช้สเปรย์น้ำเกลือพ่นจมูก พยายามให้ลูกของเราได้อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อยู่ในที่ที่มีอากาศเย็น จิบน้ำอุ่นบ่อยๆ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยบริเวณปกคอเสื้อ หรือผ้สพันคอก็ได้เช่นกัน
5.กลางคืนหายใจไม่สะดวก
ให้เราจับตัวเด็กนอนยกศีรษะสูง ใช้หอมแดงทุบให้ละเอียดแล้วนำผ้าบางๆ มาห่อเอาไว้ จัดวางไว้ใกล้หมอน เพราะว่าหอมแดงจะช่วยให้หายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และอย่าลืมว่าต้องอยู่ในอากาศที่อุ่น ไม่เย็น ชื้น เราอาจจะสวมเสื้อแขนยาว ถุงเท้า หรือถุงมือให้ลูกก็ได้เช่นกัน
นี่คือวิธีบรรเทาอาการต่างยามที่ลูกๆ ของเราเป็นหวัด ซึ่งทั้งนี้อาการเหล่านั้นต้องไม่มากเกินกว่าปกติ เพราะว่าเป็นเพียงวิธีเบื้องต้นเท่านั้น และที่สำคัญวิธีเลี้ยงลูกแรกเกิดและการดูแลสุขภาพของทารกเช่น ให้เขาได้นอนหลับอย่างเพียงพอ ให้ดื่มน้ำเยอะๆ ตลอดจนการดูแลเรื่องสถานที่อาศัยให้มีอากาศอบอุ่น และถ่ายเทตลอดเวลาเป็นสิ่งที่จะช่วยโรคต่างๆ ไม่เข้ามากล้ำกลายได้ดีที่สุด
ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เด็กๆ เป็นหวัด
อยู่ในสถานที่ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นเกินไป หรือว่ามีความร้อนชื้นมากจนเกินไป อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย สุขภาพร่างกายของเด็กเองอ่อนแอจนทำให้ติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย
อาการต่างๆ เมื่อเป็นไข้หวัด
โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อเป็นไข้หวัด อ่อนเพลีย อ่อนล้า เหนื่อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ตัวร้อน มีไข้ มีน้ำมูกมาก คัดจมูก เบื่ออาหาร
โรคเเทรกซ้อนจากหวัดที่อาจจะเกิดขึ้น
1.ไซนัสอักเสบ
เนื่องจากเมื่อเป็นไข้หวัดจะทำให้มีน้ำมูกมาก บางครั้งอาจทำให้เยื่อจมูกบวม จมูก จนลามไปถึงโพรงไซนัส ทำให้มีอาการปวดบริเวณโพรงไซนัส ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น เสียงอู้อี้ขึ้นจมูก ซึ่งหากว่ามีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์
2.หูอักเสบ
ท่อยูสเตเชียลทิ้วบ์ คือท่อที่เชื่อต่อกันจากหู และคอ เมื่อเป็นหวัดอาจจะทำให้ท่อต่างๆ เหล่านี้มีอาการบวมเกิดขึ้น จนบางครั้งอาจทำให้ตีบตัน จนทำให้ไม่สามารถระบายอากาศออกได้ ทำให้รู้สึกปวดหู และอาจจะติดเชื้อที่หูชั้นกลางได้ บางครั้งเกิดเป็นหูอักเสบได้
3.หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ
อาการแทรกซ้อนของไข้หวัดบางครั้งก็น่ากลัวกว่าเราคิด เพราะว่าอาจจะทำให้หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบได้ เพราะว่า เชื้อโรคต่างๆ จะ0ผ่านหลอดลมลงมาส่วนล่าง และเข้าสู่ปอด สังเกตง่ายๆ จะมีอาการไอมากขึ้น หอบเหนื่อย มีไข้สูง หากว่าเป็นหนักจะต้องรับยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือด
4.หอบหืด
อาการนี้ผมเป็นสมัยที่ยังเป็นเด็กมากๆ สำหรับเด็กที่มีอาการหอบหืดเป็นโรคประจำตัว ควรหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และเมื่อเป็นหวัดจะทำให้ หอบเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก มีเสียงวี้ดในปอด ต้องรีบรับยาขยายหลอดลม หรือพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อขยายหลอดลมเพราะว่าเกิดอาการตีบตัน
5.ชักจากไข้สูง
สำหรับในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ ไข้หวัดอาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเช่นมีไข้สูงมาก ควรให้ยาลดไข้ หรือพบแพทย์ทันทีเมื่อมีไข้สูง เพราะว่าถ้าปล่อยเอาไว้นานอาจทำให้เกิดอาการชักได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
