ลดน้ำหนักไม่ลงทำไงดี 5 เหตุผลที่ออกกำลังกายยังไงก็ลดน้ำหนักไม่ลงกันซักที!!
ลดน้ำหนักไม่ลงทำไงดี 5 เหตุผลที่ออกกำลังกายยังไงก็ลดน้ำหนักไม่ลงกันซักที!! หลายคนมักจะพูดอยู่บ่อยครั้งว่า การออกกำลังกายเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุด แต่เมื่อคุณได้ออกกำลังกายมาแล้วสารพัดวิธี และใช้เวลากับการออกกำลังกายมาแล้วก็ตั้งนาน
แต่ก็ไม่เห็นว่าน้ำหนักตัวจะลดลงได้ซักที มันมีอะไรที่ผิดปกติกันละเนี่ย เหตุผลก็คือก็คุณกำลังออกกำลังกายแบบผิดๆอยู่นะสิ อะไรบ้างที่ถือเป็นความผิดพลาดที่ทำให้คุณไม่สามารถที่จะลดน้ำหนักลงได้อย่างที่ตั้งใจ เราขออธิบายดังนี้
1. ออกกำลังกายแบบหักโหมเกินไป
การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายเผาผลาญไขมันในร่างกาย จนกระทั่งร่างกายต้องไปนำไขมันส่วนเกินตามส่วนต่างๆมาทดแทน แต่เป็นเพราะว่าคนอ้วนหลายคนอยากให้น้ำหนักลดลงโดยเร็ว จึงมักจะใช้วิธีลดน้ำหนักแบบหักโหมเพราะเชื่อว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงโดยเร็ว แต่จริงๆแล้วสิ่งที่จะเป็นผลตามมาก็คือ มันจะทำให้คุณมีอาการหิวอย่างมาก จนไม่สามารถที่จะห้ามตัวเองไม่ให้กินได้ และการที่ผู้ที่มีรูปร่างอ้วนอยู่ๆก็นึกจะออกกำลังจะทำให้เหนื่อยมาก
ดีไม่ดีอาจจะเป็นลมได้หรือหากร่างกายมีอาการผิดปกติอยู่อาจถึงขั้นหัวใจวายเลยก็ได้ และมักมีอาการเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวตามมาในวันถัดไป เนื่องจากร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ทัน ที่ถูกแล้วควรจะใช้วิธีออกกำลังแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องเร่งรีบเช่น อาจเลือกเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือหากขับรถไปทำงานก็ให้จอดไว้ไกลๆจากประตูทางเข้าเพราะจะได้ถือโอกาสเดินออกกำลังในระยะสั้นๆ ถ้าคุณเป็นคนอ้วนมากการออกกำลังกายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณก็คือการออกกำลังกายแบบช้าๆเน้นการสูดลมหายใจเช่น การรำมวยจีน
2. ไม่มีความสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย
ในระยะแรกของการออกกำลังกายอาจจะทำให้คุณรู้สึกเมื่อยล้า หมดแรง แต่เมื่อได้ออกกำลังกายบ่อยๆเข้า ร่างกายก็จะเริ่มปรับตัวได้ และการออกกำลังกายก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นในวันต่อๆไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอ้วนหลายคนคือ พวกเขาจะบ้าพลังในวันแรกๆ แต่พอร่างกายซ่อมแซมตัวเองตัวเองไม่ทัน พวกเขาจึงเกิดอาการเหนื่อยล้าเจ็บปวดจากการออกกำลังจนเลิกล้มความตั้งใจไปเอง การมีความสม่ำเสมอในการออกกำลังจึงเป็นปัจจัยสำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก
อย่างเช่นหลักการที่จะลดน้ำให้ได้ผลคือในทุกๆวันคุณต้องใช้พลังงานให้ได้มากกว่าพลังที่ได้รับ ซึ่งก็มาจากการรับประทานอาหารต่างๆ เมื่อคุณออกกำลังกายทุกวัน ร่างกายก็จะได้ใช้พลังงานเกินกว่าที่ได้รับ จนไปดึงเอาไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของร่างกายมาทดแทน ซึ่งหากมีความสม่ำเสมอต่อเนื่องของการใช้พลังมากกว่าที่ได้รับแล้ว ก็จะช่วยให้ความอ้วนลดลงอย่างช้าๆส่งผลให้มีรูปร่างดีขึ้นนั่นเอง
3. เลือกเวลาออกกำลังกายผิด
หากคุณต้องการที่จะออกกำลังกายเพื่อที่จะลดน้ำหนักแล้วละก็ เวลาเย็นเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อคุณเสร็จจากการออกกำลังกายในตอนเย็น คุณจะยังรู้สึกหิวในช่วงสัปดาห์แรกของการลดน้ำหนัก ยิ่งคุณออกกำลังกายด้วย ก็จะยิ่งหิวมากขึ้น จนคุณไม่สามารถที่จะทนได้นั่นเอง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นการออกกำลังกายในตอนเช้า คุณก็ยังมีอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันเป็นการชดเชย เวลาในช่วงเช่าจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลดน้ำหนัก
ซึ่งคุณก็มีวิธีอื่นที่นอกเหนือไปจากการออกกำลังตามปกติเช่น การวิ่ง, รำมวยจีน ฯลฯ โดยคุณสามารถใช้การออกกำลังที่แค่พอให้ได้เหงื่อเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปทำงานในระยะทางสั้นๆหรือการใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ แต่จำไว้ว่าวิธีที่ถูกสำหรับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่การออกกำลังกายแบบหักโหมซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังจะทำให้ต้องกินมากขึ้นอีกด้วย
4. ขาดการระวังเรื่องอาหาร
หลังจากผ่านการออกกำลังกาย คุณก็จะรู้สึกหมดพลัง คุณจึงรู้สึกหิวและอยากหาอะไรกิน เพื่อที่ร่างกายจะได้รับพลังงานเข้าไปใหม่ แต่หากคุณขาดความระมัดระวังในการเลือกอาหารการกิน ไปกินอาหารที่ทำให้อ้วน การออกกำลังกายของคุณก็จะเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย การอ่านฉลากโภชนาการก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกซื้ออาหารนั้นๆจึงเป็นสิ่งสำคัญ
โดยปกติผู้ชายและผู้หญิงจะมีความต้องการพลังงานในแต่ละวันไม่เท่ากันโดยผู้ชายจะอยู่ที่ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิงจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 – 1,500 กิโลแคลอรี่ สรุปก็คือคุณจะต้องใช้พลังงานให้ได้มากกว่าพลังงานที่คุณได้รับในวันหนึ่งๆนั่นเอง ร่างกายจึงจะดึงไขมันสะสมออกมาใช้ แล้วทำให้คุณลดความอ้วนลงได้ไงล่ะ
5. ดื่มน้ำไม่พอ
มนุษย์ทุกคนล้วนขาดน้ำไม่ได้ และในวันหนึ่งๆก็จะต้องได้ดื่มน้ำอย่างพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย น้ำไม่เพียงแต่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เรารู้สึกสดชื่น คลายความเหนื่อยล้าไปได้ ไม่เพียงเท่านั้นการดื่มน้ำยังมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เพราะการดื่มน้ำจะช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย ช่วยในการเผาผลาญพลังงานภายในร่างกาย ทำให้ไขมันส่วนเกินลดลง และการดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น
ทำให้โอกาสที่จะดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงลดลง ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง จึงควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น โดยในแต่ละวันควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 6 – 8 แก้ว หรือหากต้องการความหวานจริง ๆ ให้เลือกดื่มน้ำผลไม้ลดน้ำหนักแทน วิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้องคือดื่มครั้งละน้อยๆแต่ให้ดื่มบ่อยๆ
ใครที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังออกกำลังกายแบบผิดๆอยู่ละก็ ยังคงไม่สายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่ด้วยการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ขอเพียงมีความตั้งใจจริงแล้ว ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่นแน่นอน
อ้างอิงจาก
https://www.everydayhealth.com/diet-nutrition/weight/9-reasons-youre-not-losing-weight/
https://www.healthline.com/nutrition/20-reasons-you-are-not-losing-weight#TOC_TITLE_HDR_17
https://www.aarp.org/health/healthy-living/info-2020/lose-weight.html
https://www.fitandwell.com/how-to/eight-reasons-you-cant-lose-weight