10 วิธีรักษา แผลเป็น ที่ดีที่สุด แผลเป็นรักษาแบบไหนดีที่สุด
10 วิธีรักษา แผลเป็น ที่ดีที่สุด แผลเป็นรักษาแบบไหนดีที่สุด ทราบหรือไม่ว่าแผลเป็นเกิดขึ้นได้จากกระบวนการรักษาการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ และมีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาทดแทนเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไปซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนธรรมชาติ เมื่อแผลหายดีแล้วก็จะยังคงทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ โดยแผลเป็นมักเกิดขึ้นจาก แผลจากอุบัติเหตุ, ถูกของมีคมบาด, แผลผ่าตัด, แผลปลูกฝี, แผลสิว เป็นต้น ทำให้เกิด
โดยเราสามารถแบ่งชนิดของแผลเป็นนูนออกได้ 2 แบบ ซึ่งมีคล้ายกันทั้งสาเหตุที่เกิด ปัจจัยเสี่ยง อาการ จะแตกต่างเพียงแค่ลักษณะของแผล คือ
– แผลเป็นนูนหนาธรรมดา
แผลเป็นนูนหนาธรรมดา หรือ แผลเป็นนูนชนิดเกิดเฉพาะบนตัวแผล (Hypertrophic) ลักษณะจะเป็นสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติ แต่ยังอยู่ตรงตำแหน่งรอยแผลเดิม แผลเป็นแบบนี้เกิดขึ้นมาจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปและจะไม่ขยายวงกว้างเพิ่มขึ้นจากร่องรอยเดิม โดยจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน หลังแผลหายมักจะค่อยๆยุบตัวลง
– แผลเป็นนูนชนิดลุกลามออกนอกตัวแผล หรือ แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
– แผลเป็นนูนชนิดลุกลามออกนอกตัวแผล หรือ แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) ลักษณะของแผลจะมีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นชนิดแรก แต่จะเกิดขึ้นตามหลังแผลไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป พร้อมกับขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบของแผล ไม่ยุบหายไปได้เอง มักเกิดขึ้นบริเวณหัวไหล่ ต้นแขน และบริเวณหู
ส่วนสาวๆที่กังวลว่าหากเกิดรอยแผลเป็นขึ้นมาจะรักษาอย่างไร และยิ่งถ้าหากมีนัดสำคัญที่จะต้องใส่ชุดโชว์หัวไหล่ด้วยแล้ว!!! งานเข้าแน่ๆๆเลยล่ะคะ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป ลองดูวิธีรักษาแผลเป็นที่เรานำมาฝากกันว่ามีวิธีรักษาแผลเป็นนูนไหนบ้างที่จะช่วยชีวิตสาวๆได้
1. การป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็น
การป้องกันแผล เป็นคือวิธีขั้นพื้นฐานที่เราควรใส่ใจก่อน ถ้าสามารถทำได้ก็ควรพยายามที่จะลดสาเหตุและระดับความรุนแรงของการเกิดแผล แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรที่จะดูแลรักษาความสะอาดแผลอย่างถูกต้องเพื่อให้แผลหายเร็วที่สุด เพราะยิ่งแผลหายเร็ว โอกาสการเกิดแผลเป็นก็จะลดน้อยลง
2. วิธีการรักษาแผลให้หายเร็ว
คุณควรรักษาสภาวะแวดล้อมและความสะอาดของแผลให้ถูกต้อง หลังจากเช็ดทำความสะอาดแล้วตามด้วยการปิดแผลให้ปลอดเชื้อ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ การขาดวิตามินซี และธาตุสังกะสี เป็นต้น
3. ปล่อยให้แผลค่อยๆจางลงเองตามธรรมชาติ
เพราะเมื่อเวลาผ่านไปแผลอาจจะค่อยๆแห้งและหดจางลงได้เองในระดับหนึ่ง ฉะนั้นศัลย์แพทย์ตกแต่งส่วนมากจะให้คำแนะนำว่าควรทิ้งแผลไว้เฉยๆประมาณ 1 ปี เพื่อให้จางลงเต็มที่จึงค่อยทำการรักษาในขั้นตอนต่อไป
4. สมุนไพรรักษาแผลเป็น
ใช้สมุนไพร เช่น การนำเอาใบจากต้นมะลิลาหรือมะลิซ้อนมาตำให้ละเอียด คั้นเอาแต่เพียงน้ำมาทาที่รอบบริเวณรอยแผลเป็นวันละประมาณ 3-4 ครั้ง เมื่อแผลเริ่มจางลงแล้วจึงเอาใบมะลิถูเบาๆวันละ 3-4 ครั้งเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีสมุนไพรชนิดอื่นๆเช่น ใบบัวบก หัวหอม แตงกวา หว่านหางจระเข้ มะนาว มะขามเปียก เป็นต้น
5. ทายาแก้แผลเป็น (Topical products)
เป็นวิธีที่นิยมใช้เป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป แถมวิธีการใช้ก็ทั้งสะดวกและมีให้เลือกหลากหลาย เช่น ยาทาแผลเป็น หรือ ครีมลบรอยแผลเป็น ที่มีส่วนประกอบของวิตามินอีซึ่งช่วยทำให้เซลล์สามารถซ่อมแซมแผลได้อย่างสมบูรณ์
6. แผ่นเจลซิลิโคน (Silicone gel sheet)
แผ่นเจลมีลักษณะโครงสร้างเชื่อมต่อกันหลายแผ่น สามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำออกจากบริเวณรอยแผล แถมลดการทำงานของเส้นเลือดฝอย และลดกระบวนกระบวนการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับการนำมาปิดทับแผลเป็นคีลอยด์วันละ 12 ชั่วโมง สามารถทำให้แผลยุบลงได้ แต่คงต้องใช้เวล่ประมาณ 4-6 เดือน
7. สักสีผิว
กรณีที่รอยแผลเป็นมีลักษณะการเปลี่ยนสีผิวอย่างชัดเจน เช่น เกิดสีที่เข้มกว่าหรืออ่อนกว่าสีผิวปกติ แพทย์อาจเลือกใช้วิธีการสักสีเข้าไปในแผลเป็น เพื่อช่วยให้แผลมีสีใกล้เคียงกับผิวเดิม เช่น ถ้าคุณเป็นคนผิวขาวก็จะใช้สีขาวในการสัก
8. ลอกผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling)
วิธีนี้จะเหมาะกับแผลเป็นตื้นๆ ใช้หลักการที่ว่าใช้สารเคมีไปขจัดที่ผิวชั้นบนออก ซึ่งการจะขจัดได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสาร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ด้วยเช่นกัน
9. การฉีดฟิลเลอร์
หากกรณีที่แผลเป็นมีรอยบุ๋ม แพทย์อาจใช้วิธีฉีดสารสังเคราะห์คอลลาเจน หรือ Hyaluronic acid เข้าไปที่รอยบุ๋ม เพื่อให้ผิวดูเต็มขึ้นมา แต่วิธีนี้จะได้ผลประมาณ 6-8 เดือน แล้วต้องไปให้แพทย์ฉีดยาเติมเข้าไปใหม่ เนื่องจากสารดังกล่าวเป็นสารสังเคราะห์ที่สามารถยุบตัวลงได้เอง และก็ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
10. เลเซอร์แผลเป็น (Laser therapy)
จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อผิวที่นูนออกมาให้เรียบขึ้น แต่การเลือกใช้วิธีนี้อาจจะได้ผลแค่ปานกลาง โดยแพทย์จะต้องทำการรักษาควบคู่ไปกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การกรอผิวเพื่อปรับสภาพผิว
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาใดที่สามารถการันตีได้ว่าจะสามารถรักษารอยแผลเป็นให้หายไปชนิดแบบ 100% แต่หากคุณได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีอย่างเหมาะเจาะจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รอยแผลเป็นพวกนี้ก็สามารถจางลงได้อย่างแน่นอน ผิวของคุณก็จะกลับมาดูเป็นผิวเปล่งปลั่งและสวยงามอีกครั้ง
ซึ่งหลักการในการรักษาแผลเป็นขึ้นอยู่กับขนาดของแผล ตำแหน่งของแผล วิธีการรักษาที่ผ่านมา ความต้องการของผู้ป่วย และขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ แต่ส่วนมากแพทย์มักจะเลือกใช้วิธีการหลักๆควบคู่ไปกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆด้วยเช่นกันคะ