เชื่อว่าหลายคนที่เริ่มวิ่งต้องเคยเจอปัญหานี้แน่ๆ นั่นก็คือ ” วิ่งแล้วเจ็บเข่า ” ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หัดวิ่ง หรือแม้แต่นักวิ่งที่วิ่งมานานแล้วก็ยังเจอได้ บางคนอาจรู้สึกปวดตึง บางคนก็เสียวๆ ที่เข่า จนทำให้กังวลว่าการวิ่งจะทำให้เข่าพังในอนาคตหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้ว การวิ่งไม่ได้เป็นตัวร้ายเสมอไปนะ ถ้าเรารู้จักวิธีวิ่งที่ถูกต้องและดูแลร่างกายดีๆ การวิ่งกลับช่วยทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ เข่าแข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าถ้าเข่าเจ็บ มันต้องมีสาเหตุ ส่วนใหญ่มักมาจากท่าวิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ก้าวขายาวเกินไป ลงน้ำหนักผิดจุด หรือกล้ามเนื้อยังไม่พร้อมรับแรงกระแทก พอสะสมไปนานๆ ก็เลยทำให้เข่าบาดเจ็บได้ แต่ไม่ต้องเพิ่งท้อนะ! ถ้าคุณกำลังกังวลเรื่องเข่า บทความนี้มีคำตอบให้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าทำไมถึงเจ็บเข่า และมีวิธีแก้ไขยังไงบ้าง รับรองว่าอ่านจบแล้ว คุณจะกลับมาวิ่งได้อย่างมั่นใจ สนุก และไม่ต้องกลัวเรื่องเข่าอีกต่อไป
ทำไม วิ่งแล้วเจ็บเข่า ? มาเข้าใจต้นตอของปัญหากันก่อน
แม้ว่าการวิ่งจะเป็นกีฬาที่ดูง่ายๆ แค่สวมรองเท้าก็วิ่งได้แล้ว แต่เชื่อไหมว่าหลายคนต้องเจอปัญหา “วิ่งแล้วเจ็บเข่า” จนบางทีก็ท้อใจ คิดว่าวิ่งแล้วจะทำร้ายเข่าหรือเปล่านะ? จริงๆ แล้วไม่ใช่การวิ่งที่เป็นตัวร้ายหรอก แต่มันมาจาก วิธีการวิ่งที่อาจจะยังไม่ถูกต้อง กล้ามเนื้อที่ยังไม่แข็งแรงพอ หรือแม้แต่เรื่องพื้นฐานอย่างพื้นที่วิ่ง น้ำหนักตัว และรองเท้าคู่โปรด แต่ไม่ต้องกังวลไป! ถ้าคุณกำลังมีปัญหาเรื่องเข่า เดี๋ยวเรามาดูกันว่าอะไรบ้างที่อาจเป็นสาเหตุ และจะแก้ไขยังไงดี
1. ก้าวยาวเกินไป ตัวการร้ายที่ทำให้เข่าพัง!
รู้มั้ยว่าสาเหตุที่ทำให้หลายคนเจ็บเข่าจากการวิ่งมาจาก การก้าวยาวเกินไป นี่แหละ บางคนคิดว่ายิ่งก้าวยาว ยิ่งวิ่งได้เร็ว แต่จริงๆ แล้วมันกลับทำร้ายเข่าเราโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเท้าเราไปลงไกลจากตัวเกินไปนั่นเอง
แล้วทำไมการก้าวยาวถึงทำให้เข่าเจ็บนักล่ะ? ง่ายๆ เลย เวลาเท้าเราลงไกลจากตัว แรงกระแทกจากพื้นจะพุ่งตรงไปที่เข่าเต็มๆ แทนที่จะกระจายไปทั่วขา แถมตอนที่เข่ายังตึงๆ อยู่ แรงก็จะกดลงที่กระดูกสะบ้าและเอ็นรอบๆ เข่าแรงขึ้นไปอีก ยิ่งวิ่งนานๆ กล้ามเนื้อก็เลยรับแรงไม่ไหว เข่าก็เลยเจ็บ ล้าไปหมด
แก้ยังไงดีล่ะ? ลองปรับวิธีง่ายๆ แค่ ก้าวถี่ขึ้น แต่สั้นลง นิดนึง แค่เพิ่มจังหวะการก้าวให้เร็วขึ้น 5-10% ก็ช่วยลดแรงกระแทกที่เข่าได้เยอะเลยนะ
2. ลงส้นเท้าแรงเกินไป (Heel Strike) เพิ่มแรงกระแทกโดยไม่จำเป็น
นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาที่เจอบ่อยมากๆ นั่นคือ การลงส้นเท้าแรงเกินไปตอนวิ่ง หรือที่เรียกว่า Heel Strike ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แรงกระแทกจากพื้นพุ่งตรงขึ้นมาที่หัวเข่าเลย
แล้วทำไมการลงส้นเท้าถึงทำให้เข่าเจ็บล่ะ?
ง่ายๆ เลย เวลาเราลงส้นเท้าแรงๆ เข่าเราต้องรับแรงกระแทกเต็มๆ เพราะกล้ามเนื้อหน้าแข้งกับน่องไม่ได้ช่วยรับแรงเลย พอสะสมไปนานๆ ก็อาจจะเกิดอาการที่หมอเรียกว่า Patellofemoral Pain Syndrome หรือที่คนวิ่งเรียกกันว่า Runner’s Knee นั่นเอง แต่ไม่ต้องกังวลไป! แค่ปรับวิธีลงเท้าใหม่ โดยพยายามลงกลางเท้า (Midfoot Strike) แทนการลงส้น ให้น้ำหนักกระจายไปทั่วเท้า แทนที่จะกระแทกลงที่ส้นเท้าอย่างเดียว แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว
3. กล้ามเนื้อรอบเข่าและสะโพกอ่อนแรง ทำให้ข้อเข่าต้องรับแรงมากขึ้น
ข้อเข่าไม่ได้ทำงานแยกจากส่วนอื่นของร่างกาย กล้ามเนื้อต้นขา (Quadriceps), กล้ามเนื้อสะโพก (Glutes) และกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) ล้วนมีส่วนสำคัญในการช่วยพยุงข้อเข่า ถ้ากล้ามเนื้อเหล่านี้อ่อนแรง ข้อเข่าจะต้องรับแรงกระแทกมากขึ้น จนเกิดอาการปวดได้ง่าย
สัญญาณของกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่อาจทำให้ปวดเข่า:
- วิ่งระยะไกลแล้วรู้สึกเมื่อยล้าที่หัวเข่าเร็วผิดปกติ
- มีอาการเข่าล้มเข้า (Knee Collapse) เมื่อวิ่ง หรือรู้สึกเหมือนหัวเข่าหลวม
- วิ่งแล้วรู้สึกว่ากล้ามเนื้อน่องและต้นขาตึงกว่าปกติ
วิธีแก้ไข: เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าด้วย Squats, Lunges, Glute Bridge และ Leg Extensions ซึ่งช่วยให้กล้ามเนื้อรองรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น และลดโอกาสบาดเจ็บ
4. พื้นผิวที่วิ่งมีผลต่อแรงกระแทกที่ข้อเข่า
หลายคนอาจไม่ทราบว่า ลักษณะพื้นที่คุณวิ่งนั้นส่งผลต่อเข่าของคุณมากแค่ไหน? ลองคิดดู ถ้าคุณวิ่งบนพื้นแข็งๆ อย่างคอนกรีตหรือถนนลาดยาง แรงกระแทกจากพื้นก็จะสะท้อนกลับมาที่เข่าคุณเต็มๆ เลยล่ะ แต่ไม่ต้องกังวลมากไป! ถ้าคุณเป็นคนชอบวิ่งท่ามกลางธรรมชาติ การวิ่งเทรลก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะพื้นดินธรรมชาติจะช่วยซับแรงกระแทกได้ดีกว่าถนนทั่วไปเยอะ แต่ก็ต้องระวังนิดนึงนะ เพราะเส้นทางเทรลอาจมีทั้งก้อนกรวด โคลน หรือรากไม้ที่อาจทำให้เราพลิกข้อเท้าได้ง่าย ถ้าจะลุยเทรลจริงๆ อย่าลืมเลือกรองเท้าให้เหมาะกับพื้นผิว และฝึกการทรงตัวให้ดีๆ ก่อนนะ
5. น้ำหนักตัวที่มากเกินไป เพิ่มแรงกดต่อข้อเข่าโดยตรง
น้ำหนักตัวเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออาการปวดเข่า ทุกก้าวที่เราวิ่ง หัวเข่าจะต้องรับแรงกระแทกประมาณ 3-5 เท่าของน้ำหนักตัว ถ้าน้ำหนักมาก ข้อเข่าก็ต้องรับแรงมากขึ้นตามไปด้วย
ผลกระทบของน้ำหนักตัวที่มากเกินไปต่อเข่า:
- เพิ่มแรงกดที่ข้อเข่าทุกครั้งที่ลงเท้า ทำให้เกิดอาการปวดเร็วขึ้น
- เพิ่มความเสี่ยงของข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร
- อาจทำให้วิ่งได้น้อยลง เพราะข้อเข่ารับภาระหนักเกินไป
แก้ไขได้อย่างไร: หากต้องการลดแรงกระแทกที่หัวเข่า ควรเริ่มต้นด้วยการ ควบคุมน้ำหนัก ร่วมกับการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และเลือกพื้นผิวที่ลดแรงกระแทก เช่น การวิ่งบนลู่วิ่งหรือพื้นดินที่นุ่มกว่า
มาดูวิธีบรรเทาอาการปวดเข่าและกลับมาวิ่งอย่างมั่นใจกัน!
ใครที่เคยเจอปัญหาปวดเข่าจากการวิ่ง เข้าใจดีว่ามันทำให้เรากังวลและกลัวว่าจะทำให้เข่าพังในอนาคต แต่จริงๆ แล้วไม่ต้องกลัวขนาดนั้นนะ! ถ้าเรารู้จักดูแลตัวเองและปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง อาการปวดเข่าก็จะค่อยๆ ดีขึ้นได้ แค่พักฟื้นให้ถูกวิธีและปรับเทคนิคการวิ่งนิดหน่อย รับรองว่าคุณจะกลับมาวิ่งได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บอีกเลย
พักฟื้นให้ถูกวิธีด้วยหลัก RICE: ลดอาการอักเสบได้เร็วขึ้น
หากเกิดอาการปวดเข่าหลังวิ่ง การพักฟื้นอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ หลัก RICE เป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บและช่วยให้ข้อเข่าฟื้นตัวเร็วขึ้น
- Rest (พักผ่อน): หลีกเลี่ยงการใช้เข่าหนักเกินไป ลดกิจกรรมที่ทำให้ปวด
- Ice (ประคบเย็น): ใช้ น้ำแข็งประคบ บริเวณที่ปวดประมาณ 15-20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อลดอาการบวมและการอักเสบ
- Compression (พันผ้ายืด): ใช้ผ้ายืดหรืออุปกรณ์พยุงเข่าเพื่อลดอาการบวมและช่วยพยุงข้อต่อ
- Elevation (ยกขาสูง): เวลานั่งหรือนอน ควร ยกขาสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อช่วยลดอาการบวม
การทำ RICE อย่างสม่ำเสมอในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังจากมีอาการปวด จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
ยืดกล้ามเนื้อก่อนวิ่งสำคัญกว่าที่คิด!
สาเหตุที่เข่าเจ็บส่วนใหญ่มาจากการที่เราลืมวอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อก่อนวิ่งนี่แหละ ถ้าเรายืดกล้ามเนื้อให้ดีๆ มันจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบๆ เข่ายืดหยุ่นขึ้น ไม่ตึงจนเกินไป และลดโอกาสบาดเจ็บได้เยอะเลย วิธีที่เหมาะที่สุดคือการทำ Dynamic Stretching เพราะนอกจากจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีแล้ว ยังทำให้กล้ามเนื้อพร้อมออกวิ่งด้วย มาดูท่าง่ายๆ ที่ทำได้เลยกัน:
- Leg Swings: แกว่งขาไปมาหน้า-หลัง แค่นี้ก็ช่วยได้แล้ว
- High Knees: ลองยกเข่าสูงๆ สักหน่อย กระตุ้นกล้ามเนื้อขาให้ตื่นตัว
- Lunges with Rotation: ก้าวขาพร้อมบิดตัว ช่วยให้สะโพกและข้อต่อพร้อมทำงาน
ปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง: ลดแรงกระแทกที่ข้อเข่า
นอกจากการพักฟื้นแล้ว การปรับเปลี่ยนท่าวิ่งให้เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญในการลดอาการบาดเจ็บ หลายครั้งที่อาการปวดเข่าเกิดจากเทคนิคการวิ่งที่ไม่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยสามารถช่วยลดแรงกระแทกที่ข้อเข่าได้อย่างมาก
1. เพิ่มรอบขา (Cadence) ให้มากขึ้น เพื่อลดการก้าวยาว
การก้าวยาวเกินไป (Overstride) เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของอาการปวดเข่า การเพิ่มรอบขาให้เร็วขึ้น 5-10% สามารถช่วยลดแรงกระแทกที่หัวเข่าได้มากถึง 30%
วิธีเพิ่มรอบขา:
- ใช้นาฬิกาวิ่งหรือแอปพลิเคชันที่ช่วยนับ Cadence เพื่อดูว่ารอบขาต่อวันาทีของคุณอยู่ที่ระดับไหน
- หากต่ำกว่า 160 SPM (ก้าวต่อนาที) ลองเพิ่มขึ้นทีละน้อย
- ตั้งเป้าหมายให้ อยู่ที่ประมาณ 170-180 SPM เพื่อให้การลงเท้ามีประสิทธิภาพขึ้น
2. ปรับท่ายืนให้โน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย
การยืดตัวตรงมากเกินไปหรือเอนหลังขณะวิ่ง อาจทำให้แรงกดไปที่หัวเข่ามากขึ้น ควร โน้มตัวไปข้างหน้าประมาณ 10-15 องศา เพื่อช่วยให้การวิ่งเป็นธรรมชาติขึ้น และลดแรงกระแทกที่ข้อเข่า
วิธีฝึก:
- ลองวิ่งบนลู่วิ่งในกระจกเพื่อดูว่าไหล่และสะโพกของคุณตั้งตรงเกินไปหรือไม่
- ปรับให้ศีรษะ คอ และสะโพกอยู่ในแนวเดียวกัน แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
- อย่าก้มหลัง แต่ให้โน้มมาจากสะโพกแทน
3. ฝึกลงเท้าบริเวณกลางเท้าแทนการลงส้น
การลงส้นเท้าแรงเกินไป (Heel Strike) จะทำให้แรงกระแทกส่งไปที่ข้อเข่าโดยตรง ควร เปลี่ยนเป็นการลงเท้าแบบ Midfoot Strike หรือบริเวณกลางเท้าเพื่อลดแรงกดที่เข่า
วิธีปรับ:
- ลองฝึกวิ่งช้า ๆ บนพื้นหญ้าหรือพื้นดินเพื่อลดแรงกระแทกและให้เท้าปรับตัว
- ฝึกวิ่งเท้าเปล่าเป็นระยะสั้น ๆ บนพื้นนุ่ม เพื่อให้รู้สึกถึงการลงเท้าตามธรรมชาติ
- ใช้รองเท้าที่มี Drop ไม่สูงมาก เพื่อลดการพึ่งพาส้นรองเท้า
วิ่งแล้วเข่าจะพังจริงหรือ? เรามีคำตอบ!
หลายคนคงเคยได้ยินคำเตือนว่า “วิ่งแล้วเข่าจะพัง” หรือ วิ่งแล้วเจ็บเข่า จนทำให้ลังเลที่จะเริ่มวิ่ง แต่รู้มั้ยว่านี่เป็นแค่ความเข้าใจผิด! ถ้าเราวิ่งถูกวิธี การวิ่งไม่ได้ทำร้ายเข่าเลย แถมยังช่วยทำให้ข้อเข่าและข้อต่อแข็งแรงขึ้นด้วยนะ ถ้าคุณวิ่งด้วยท่าที่ถูกต้อง ใส่รองเท้าที่เหมาะสม และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงพอ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเข่าเสื่อมเลย ที่น่าแปลกใจคือ คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายต่างหากที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะข้อต่อไม่เคยได้ออกกำลังเลย แล้วการวิ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เข่าได้ยังไง? เดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมคุณไม่ต้องกลัวที่จะวิ่งอีกต่อไป
การวิ่งทำให้กระดูกและข้อต่อแข็งแรงขึ้นจริงหรือ?
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า การวิ่งมีส่วนช่วยให้กระดูกและข้อต่อของเราแข็งแรงขึ้นได้ ที่น่าสนใจคือ ทุกครั้งที่เท้าของเรากระทบพื้น แรงกระแทกเล็กๆ นี้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างมวลกระดูกเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน และทำให้ข้อต่อต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น
แล้วการวิ่งช่วยให้ข้อต่อแข็งแรงได้ยังไง? มาดูกัน:
- สร้างมวลกระดูกให้แน่น: ช่วยป้องกันไม่ให้กระดูกพรุนง่าย
- เพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกอ่อนในเข่า: ทำให้ข้อเข่าเสื่อมช้าลง และลดการเสียดสีในข้อ
- ทำให้เอ็นต่างๆ แข็งแรง: ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการบาดเจ็บ
พูดง่ายๆ คือ ถ้าเราวิ่งอย่างถูกวิธี ร่างกายของเราจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังช่วยป้องกันปัญหาข้อเสื่อมในอนาคตได้ด้วย
การวิ่งช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ลดการอักเสบในข้อ
อีกหนึ่งข้อดีของการวิ่งคือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพของข้อเข่า การไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้นหมายความว่า ข้อต่อได้รับสารอาหารและออกซิเจนมากขึ้น ช่วยลดอาการอักเสบและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในข้อ
ประโยชน์ของการไหลเวียนโลหิตที่ดีต่อข้อเข่า:
- ลดการสะสมของของเสียในข้อต่อ ซึ่งเป็นสาเหตุของการอักเสบ
- ส่งเสริมการซ่อมแซมของกระดูกอ่อน ทำให้ข้อแข็งแรงขึ้น
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคข้ออักเสบในระยะยาว
นอกจากนี้ การวิ่งยังส่งผลดีต่อหัวใจอย่างไรและระบบไหลเวียนโลหิตโดยรวม ทำให้ร่างกายมีออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่าง ๆ มากขึ้น ระบบไหลเวียนเลือดที่ดีส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของนักวิ่ง
เคล็ดลับสร้างกล้ามเนื้อแข็งแรง ลดปัญหาเข่าเสื่อม
กล้ามเนื้อรอบๆ เข่าของเรานี่แหละ ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันชั้นแรกให้กับข้อเข่า ถ้ากล้ามเนื้อแข็งแรงดี ก็จะช่วยซับแรงกระแทกได้เยอะ ลดโอกาสบาดเจ็บและเข่าเสื่อมในระยะยาวได้ด้วย
มารู้จักกล้ามเนื้อสำคัญที่ช่วยดูแลเข่าของเรากัน:
- กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (Quadriceps): เปรียบเหมือนหมอนรองเข่า ช่วยพยุงให้เข่าทำงานได้ดีขึ้น
- กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings): คอยควบคุมการเคลื่อนไหวของเข่าให้นุ่มนวล
- กล้ามเนื้อสะโพก (Glutes): ช่วยให้เราทรงตัวได้ดี และกระจายแรงกระแทกไม่ให้ลงที่เข่ามากเกินไป
ถ้ากล้ามเนื้อพวกนี้ไม่แข็งแรงพอ เข่าก็ต้องทำงานหนักขึ้น เสี่ยงบาดเจ็บได้ง่าย เพราะฉะนั้น อย่าลืมฝึกความแข็งแรงควบคู่ไปกับการวิ่งด้วยนะ
แนะนำท่าออกกำลังกายง่ายๆ ที่ทำได้ที่บ้าน:
- สควอทกับลันจ์: ท่ายอดฮิตที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้ขาและสะโพก
- ยกขาเหยียดตรง: ช่วยให้กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าแข็งแรง
- สะพานโยก: ท่าเด็ดบริหารสะโพกและช่วงลำตัว
ลองทำท่าเหล่านี้สลับกับการวิ่ง รับรองว่าเข่าจะแข็งแรงขึ้น วิ่งได้สบายๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเข่าเสื่อมเลย
ป้องกันอาการเจ็บเข่าได้อย่างไร? เทคนิคง่ายๆ ที่ใช้ได้จริง
วิ่งแล้วเจ็บเข่า อาจดูเป็นเรื่องน่ากังวล แต่โชคดีที่มันสามารถป้องกันได้ หากคุณเตรียมตัวให้ดีและให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของข้อเข่า ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรองเท้าวิ่งที่เหมาะสม การฝึกกล้ามเนื้อ การควบคุมน้ำหนัก หรือแม้แต่การเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงข้อต่อ ทั้งหมดนี้ล้วนช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บและทำให้คุณสามารถวิ่งได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกลัวเจ็บ
เลือกรองเท้าวิ่งให้ใช่ ช่วยลดแรงกระแทกที่เข่าได้จริง!
รู้มั้ยว่ารองเท้าวิ่งนี่แหละ เป็นเพื่อนซี้ที่จะช่วยปกป้องเข่าของเราได้ดีที่สุด ถ้าเลือกรองเท้าที่เข้ากับเท้าและสไตล์การวิ่งของเรา รับรองว่าช่วยซับแรงกระแทกได้เยอะเลย มาดูกันว่ารองเท้าวิ่งที่ดีควรมีอะไรบ้าง:
- เน้นคุณสมบัติซับแรงกระแทก โดยเฉพาะที่ส้นเท้าและกลางเท้า ตรงนี้สำคัญมาก
- ต้องเข้ากับอุ้งเท้าของเรา ไม่ว่าจะเท้าแบน (Flat Foot) อุ้งเท้าสูง (High Arch) หรือเท้าธรรมดา ก็มีรองเท้าที่ใช่สำหรับเราแน่นอน
- ใส่สบาย พอดีเท้า ไม่หลวมหรือคับจนเกินไป จะได้ไม่เจ็บเท้าระหว่างวิ่ง
- พื้นรองเท้าต้องเหมาะกับพื้นที่เราชอบวิ่ง จะวิ่งถนน วิ่งเทรล หรือวิ่งลู่ ก็เลือกให้ตรงกับการใช้งานจริง
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ารองเท้าคู่นี้ใช่?
- ลองวิ่งจริงๆ ดู จะวิ่งบนลู่หรือพื้นจริงก็ได้
- สังเกตว่าตอนลงเท้าแล้วรู้สึกนุ่มสบายไหม ช่วยลดแรงกระแทกได้ดีแค่ไหน
- อย่าลืมเปลี่ยนรองเท้าเมื่อวิ่งไปได้ประมาณ 600-800 กิโล เพราะรองเท้าที่เสื่อมสภาพจะทำให้เข่ารับแรงกระแทกมากเกินไป
บำรุงข้อต่อด้วยโภชนาการที่เหมาะสม
อาหารที่เราทานมีผลต่อสุขภาพของข้อเข่า การเลือกอาหารที่ช่วยบำรุงข้อต่อสามารถลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น
สารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างข้อต่อ:
- คอลลาเจน: ช่วยบำรุงกระดูกอ่อนในข้อเข่า พบในน้ำซุปกระดูก เนื้อปลา และเจลาติน
- วิตามินดี: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น พบในปลาแซลมอน ไข่แดง และแดดอ่อนๆ
- แคลเซียม: เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก พบในนม อัลมอนด์ และผักใบเขียว
- โอเมก้า 3: ลดการอักเสบของข้อต่อ พบในปลาแซลมอน วอลนัท และเมล็ดแฟลกซ์
นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างข้อต่อแล้ว การเติมพลังงานให้ร่างกายอย่างเหมาะสมก่อนและหลังวิ่งก็เป็นสิ่งสำคัญ อาหารสำหรับนักวิ่งที่อุดมไปด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ
ฝึกเวทเทรนนิ่งเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกให้แข็งแรง
กล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกที่แข็งแรงเป็นเหมือน “เกราะป้องกัน” ให้กับข้อเข่า หากกล้ามเนื้อเหล่านี้อ่อนแรง ข้อเข่าจะต้องรับแรงกระแทกมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย
กล้ามเนื้อสำคัญที่ช่วยปกป้องข้อเข่า:
- Quadriceps (ต้นขาด้านหน้า): ช่วยพยุงกระดูกสะบ้า ลดแรงกดที่ข้อเข่า
- Hamstrings (ต้นขาด้านหลัง): ควบคุมการเคลื่อนไหวของหัวเข่า
- Glutes (สะโพก): ลดการทรงตัวผิดปกติและช่วยกระจายแรงกระแทก
ท่าออกกำลังกายแนะนำ:
- Squats: เสริมความแข็งแรงของต้นขาและสะโพก
- Lunges: ฝึกความสมดุลและลดแรงกระแทกที่หัวเข่า
- Leg Extensions: โฟกัสที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าโดยตรง
- Glute Bridges: ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของสะโพกและแกนกลางลำตัว
การฝึกเวทเทรนนิ่งเพียง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยให้ข้อเข่ารับแรงกดน้อยลง และลดโอกาสบาดเจ็บจากการวิ่งได้อย่างมีนัยสำคัญ
ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดแรงกดที่ข้อเข่า
น้ำหนักตัวเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อข้อเข่าโดยตรง ทุกก้าวที่เราวิ่ง หัวเข่าจะต้องรับแรงกระแทกประมาณ 3-5 เท่าของน้ำหนักตัว ซึ่งหมายความว่าหากน้ำหนักเกินมาตรฐาน ข้อเข่าจะต้องรับภาระหนักขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปวดเข่าและข้อเสื่อมได้เร็วขึ้น
วิธีควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมสำหรับนักวิ่ง:
การควบคุมน้ำหนักที่ดีนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด เริ่มจากเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ งดของแปรรูปที่มีแต่แป้งกับน้ำตาล แล้วก็คอยดูว่าแต่ละวันเราใช้พลังงานไปเท่าไหร่ ทานเข้าไปพอดีไหม ที่สำคัญอย่าลืมเสริมด้วยการเล่นเวท เพราะนอกจากจะช่วยเผาผลาญดีแล้ว ยังรักษากล้ามเนื้อให้แข็งแรงด้วย จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องรีบลดน้ำหนักให้ได้เร็วๆ แค่ค่อยๆ ปรับให้ร่างกายอยู่ในจุดที่พอดี ข้อเข่าก็จะได้ไม่ต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไป ทำงานได้เต็มที่นั่นเอง
เชื่อว่าหลายคนคงเคยกังวลว่าอาการปวดเข่าหลังวิ่งจะทำให้ต้องเลิกวิ่งไปเลย แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่สัญญาณเตือนให้เราปรับเปลี่ยนวิธีวิ่งนิดหน่อยเท่านั้นเอง บางทีปัญหาก็ไม่ได้มาจากการวิ่งโดยตรง แต่อาจเป็นเพราะเราใช้กล้ามเนื้อไม่ถูกวิธี ใส่รองเท้าไม่เหมาะ หรือละเลยการเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย
พอเราเข้าใจต้นตอที่แท้จริงและปรับท่าวิ่งให้ถูก ก็จะกลับมาวิ่งได้สบายๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มความถี่ในการก้าวเท้าเพื่อลดแรงกระแทก ปรับจังหวะการลงเท้า หรือเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อรอบเข่า ทุกอย่างนี้จะช่วยให้เราวิ่งได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องกลัวเรื่องเข่าเจ็บอีกต่อไป
สุดท้ายแล้ว เคล็ดลับง่ายๆ คือค่อยๆ ฝึก อย่ารีบร้อนจนเกินไป และที่สำคัญคือต้องรู้จักฟังสัญญาณจากร่างกายด้วย ถ้าเราดูแลข้อต่อดีๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเสริม และใช้เทคนิคการวิ่งที่ถูกต้อง รับรองว่าจะวิ่งได้อย่างมีความสุขไปอีกนาน
คำถามที่พบบ่อย
1. วิ่งแล้วปวดเข่าต้องหยุดวิ่งเลยไหม?
ไม่จำเป็นต้องหยุดวิ่งทันที แต่อย่าฝืนวิ่งต่อหากมีอาการปวดมาก ควรพักให้เพียงพอและใช้วิธี RICE (Rest, Ice, Compression, Elevation) เพื่อลดอาการบาดเจ็บ จากนั้นให้สังเกตว่าปวดจากอะไร ถ้าเกิดจากท่าวิ่งที่ผิด ลองปรับการก้าวเท้าและการลงเท้าให้เหมาะสม ถ้ายังปวดอยู่ควรลดระยะทางหรือเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นชั่วคราว เช่น ปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำเพื่อให้ข้อเข่าได้พัก
2. ทำไมบางคนวิ่งแล้วไม่ปวดเข่า แต่บางคนปวด?
อาการปวดเข่าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ท่าวิ่ง กล้ามเนื้อรอบเข่า พื้นผิวที่ใช้วิ่ง น้ำหนักตัว และรองเท้า คนที่มีกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกแข็งแรงจะสามารถรองรับแรงกระแทกได้ดีกว่า ส่วนคนที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือวิ่งด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ก้าวยาวเกินไป หรือวิ่งลงส้นแรง ๆ จะมีโอกาสปวดเข่ามากกว่า การเลือกใช้รองเท้าวิ่งที่เหมาะสมก็มีผลเช่นกัน
3. จะรู้ได้ยังไงว่าปวดเข่าเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือวิ่งผิดท่า?
ลองสังเกตอาการปวดเข่า ถ้ารู้สึกตึงและล้า อาจเกิดจากกล้ามเนื้อรอบเข่าและสะโพกไม่แข็งแรงพอ ควรเสริมสร้างความแข็งแรงด้วยเวทเทรนนิ่ง เช่น Squats, Lunges และ Glute Bridges แต่ถ้าปวดจี๊ด ๆ หรือรู้สึกเหมือนข้อเข่าถูกกดทับ อาจเป็นเพราะลงเท้าผิดวิธี ให้ลองปรับการก้าวเท้าให้สั้นลง และเปลี่ยนจากการลงส้นเป็นลงกลางเท้าเพื่อลดแรงกระแทก
4. มีวิธีไหนช่วยป้องกันอาการปวดเข่าจากการวิ่งได้บ้าง?
เริ่มจาก การเลือกใช้รองเท้าวิ่งที่เหมาะสมกับรูปเท้า, ฝึก เวทเทรนนิ่งเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก, ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดแรงกดที่ข้อเข่า และ ยืดกล้ามเนื้อก่อนวิ่งด้วย Dynamic Stretching เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อม นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงข้อต่อ เช่น อาหารที่มีคอลลาเจน วิตามินดี และแคลเซียม ก็สามารถช่วยให้ข้อต่อแข็งแรงขึ้นและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บได้
อ้างอิง
- Michelle E. Kew, MD, Knee Pain After Running: Causes and Treatments, HSS, June 6, 2024, https://www.hss.edu/article_knee-pain-after-running.asp
- Knee pain and other running injuries, NHS UK, November 22, 2022, https://www.nhs.uk/live-well/exercise/knee-pain-and-other-running-injuries/
- Lauren Del Turco, 6 Causes of Knee Pain When Running, Health, December 3, 2024, https://www.health.com/fitness/knee-pain-running