10 วิธี เดินลดน้ำหนัก การเดินลดความอ้วน เผาผลาญไขมันที่ดีที่สุด
เดินลดน้ำหนัก 10 วิธี การเดินลดความอ้วน เผาผลาญไขมันที่ดีที่สุด การออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วนนั้น มีอยู่ด้วยกันมากมายหลายวิธี ซึ่งใครจะเลือกวิธีก็ขึ้นอยู่กับความความชอบความเหมาะสมของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป การเลือกการออกกำลังที่ตรงกับความชอบความถนัดของเรานอกจากช่วยสร้างความเพลิดเพลินได้มากกว่าวิธีอื่นๆแล้ว ยังมีผลให้สามารถลดน้ำหนักตัวได้มากกว่าการฝืนใช้วิธีออกกำลังที่ไม่ถนัด เพราะการได้ออกกำลังกายที่ตรงกับความชอบของเรานั้น
จะทำให้เราใช้เวลากับมันได้นานและบ่อยครั้งกว่านั่นเอง การเดินก็เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ในการออกกำลังกายแได้เช่นกัน ซ้ำยังเป็นวิธีง่ายๆไม่หักโหมมากนัก ถือเป็นสูตรลดน้ำหนักปลอดภัย จึงเหมาะทีเดียวกับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากๆ ซึ่งหากได้ออกกำลังกายด้วยการเดินอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้น้ำหนักตัวลดน้อยลงได้แบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งวิธีเดินออกกำลังกายจะทำได้อย่างไรนั้น วันนี้เราก็นำมาบอกกันดังนี้ — เดินลดน้ำหนัก
1. เดินสลับออกกำลังกาย
แทนที่จะเดินอย่างเดียวเฉยๆ เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญได้มากขึ้น คุณควรที่จะหยุดพักเป็นระยะแล้วออกกำลังกายอย่างอื่นสลับกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิดพื้น กระโดดตบ หรือสควอทก็ได้เหมือนกัน เพราะการเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายแบบนี้เข้าไปในระหว่างการเดินก็จะช่วยให้คุณเบิร์นได้มากขึ้น และทำให้เห็นผลเร็วขึ้น
2. เดินเร็วๆ
หากคุณเดินช้าๆชมนกชมไม้สองข้างทางมันก็อาจไม่ช่วยอะไรในการลดน้ำหนักมากนัก แต่หากคุณอยากที่จะเผาผลาญแคลอรี่ได้เร็วขึ้นละก็ การเดินเร็วจะดีกว่าในการใช้ลดน้ำหนัก โดยคุณอาจจะเดินเร็วให้ได้ทุกวันวันละ 3 ครั้งครั้งละ 15 นาที ก็จะช่วยลดน้ำหนักได้ และหากต้องการควบคุมน้ำหนักให้คงที่ก็ควรเดินให้ได้วันละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน
3. เดินเป็นประจำ
การเดินบ่อยๆหรือได้เดินเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที 4 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้เป็นอย่างดีทีเดียว และการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอก็เป็นวิธีที่ได้ผลมากกว่าการออกกำลังกายแบบหักโหม ที่นอกจากอาจทำให้คุณต้องกินเข้าไปมากขึ้นแล้ว ยังอาจส่งผลให้คุณต้องเดี้ยงในวันต่อมาก็เป็นได้
4. เดินเล่นสบายๆ
นอกจากจะเดินเพื่อลดน้ำหนักแล้ว คุณอาจจะอยากเดินเพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายไปด้วยในเวลาเดียวกัน การเดินแบบสบายๆไม่ต้องเร่งรีบก็สามารถช่วยคุณได้ แม้จะไม่สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากนัก แต่มันช่วยสร้างแจ่มใสเบิกบานให้คุณได้ดีทีเดียว และการรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอนั้นก็มีผลต่อน้ำหนักตัวด้วยเช่นเดียวกัน
5. เดินแกว่งแขน
การเดินออกกำลังพร้อมๆกับแกว่งแขนไปด้วย จะทำให้เดินได้เร็วขึ้นและเบิร์นได้มากขึ้นด้วย แค่เพียงคุณแกว่งแขนไปตามจังหวะของการก้าวเดิน ร่างกายทั้งส่วนบนส่วนล่างรวมทั้งหน้าท้องก็จะได้ออกกำลังกายไปด้วยพร้อมๆกัน การเดินแบบนี้ จึงเป็นวิธีที่ดีทีเดียวสำหรับการช่วยลดหน้าท้อง และช่วยให้รูปร่างดูดี
6. เดินไปทำอย่างอื่นไป
สำหรับพนักงานออฟฟิศที่อาจจะหาเวลาไปออกกำลังกายไม่ค่อยจะได้ ก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้เหมือนกัน แทนที่คุณจะนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะทำงาน คุณก็เปลี่ยนมาใช้มือถือในการคุยโทรศัพท์แทนซะ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถที่จะเดินไปคุยไปได้ แถมยังได้ลดน้ำหนักไปในตัวอีกด้วย
7. เดินสลับวิ่ง
การเดินอีกแบบหนึ่งที่จะช่วยให้เผาผลาญได้มากขึ้น ก็คือการเดินสลับกับการวิ่งเหยาะๆ การวิ่งเหยาะๆนั้นไม่ต่างจากการเดินเร็วมากนัก จึงเป็นวิธีที่ไม่หักโหมมากเกินไป โดยคุณอาจจะวิ่งเหยาะๆสลับกันไปมากับการเดินย่ำอยู่กับที่ซึ่งใครจะยกเข่าสูงเวลาเดินก็ได้เพราะจะเป็นการช่วยลดหน้าท้องอีกด้วย
8. ใช้เวลาเดินนานๆ
คุณจะลดไปได้กี่แคลอรี่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณได้ใช้เวลาไปกับการเดินมากน้อยแค่ไหน ยิ่งเดินมากก็ยิ่งเผาผลาญได้มากขึ้นตามไปด้วย แล้วก็จะส่งผลให้คุณลดน้ำหนักได้เร็วขึ้นด้วยนั่นเอง แต่หากคุณเพิ่งเริ่มเดินคุณก็อาจเริ่มจากการพยายามเดินให้ได้ทีละน้อยแต่เดินให้ได้อย่างสม่ำเสมอก่อนแล้วค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นเรื่อยๆตามความเหมาะสม
9. ชวนเพื่อนไปเดินด้วยกัน
ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้วิธีออกกำลังกายโดยการเดินหรือจะไปเข้าฟิตเนสก็ตาม หากมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไปด้วย ก็จะช่วยให้สนุกมากขึ้น ซึ่งการหาเพื่อนลดน้ำหนักด้วยกันจะช่วยกระตุ้นกันได้ในเวลาขี้เกียจ หรือคอยเบรกกันในเวลาที่เผลอตามใจปากหรือคอยให้กำลังใจเอาความรู้ดีๆมาบอกกันอยู่เสมอ ก็จะเป็นการช่วยให้วิธีลดไขมันหน้าท้องเห็นผลได้ไวขึ้นอีกทางหนึ่ง
10. เดินขึ้นทางลาดชัน
การออกกำลังกายโดยการเดินขึ้นเขา ไต่ขึ้นที่สูง หรือเดินขึ้นบันไดหลายๆขั้น ถือเป็นวิธีที่ทำให้เราต้องออกแรงเดินมากขึ้นกว่าการเดินปกติ จึงช่วยรีดไขมันได้ไม่น้อย แต่จะสนุกขึ้นถ้าได้ชวนเพื่อนไปด้วย
ในวันหนึ่งๆเราจะเดินได้นานเท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แต่ความสำคัญอยู่ที่ความสม่ำเสมอนั่นเอง หากเราเดินได้วันละครึ่งชั่วโมง เราก็ควรเดินให้ได้ 4 – 5 วันต่อสัปดาห์เป็นประจำ ดีกว่าใช้วิธีเดินแบบหักโหมในครั้งเดียว หรือเราไม่ค่อยมีเวลามากนัก เราก็อาจปรับการเดินให้เข้ากับชีวิตประจำวัน หากที่ทำงานของเราใช้เวลาในการเดินไปประมาณ 10 นาที เราก็อาจเลือกใช้การเดินแทนการใช้รถก็ได้